จำไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้ว ที่ฟัง Pause รอบสุดท้าย แต่ไหนๆว่างๆเลยเปิดอัลบั้มนี้กลับมาฟัง
จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ (โหลด) อัลบั้มนี้มาฟังเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ก็หลงรักวงพอสในทันที
หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่าพอสเป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่มากในวงการเพลงอินดี้ไทยจริงๆ เพราะมีหลายเพลงเหลือเกินที่คุ้นหูคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ที่ว่าง ความลับ ข้อความ รักเธอที่สุดของหัวใจ ดาว กอดหมอน และอื่นๆ
Mild เป็นผลงานชุดที่สามของวงพอสที่ทำเป็นแนวค่อนข้างจะ acoustic ตามหลัง Push me again และ Evo & nova ซึ่งออกไปทางร๊อกนิดๆ แต่ไม่หนักมาก
Mild นั้นประกอบด้วยเพลง 11 เพลง
1.สัมพันธ์
2.ข้อความ
3.ดาว
4.ฝันกลางวัน
5.บางสิ่ง
6.เหงา
7.ความลับ
8.เปล่าๆ
9.อย่าตัดสินใจ
10.จะรักเธอคนเดียว
11.กอดหมอน
เนื่องด้วยอัลบั้มนี้ออกมาในปี 2542 ในตอนนี้ก็มีอายุครบ 10 ปีแล้ว แต่ว่าไม่ว่าจะฟังกี่ครั้ง ก็ไม่รู้สึกเลยว่าดนตรีที่เรียบง่าย ทำนองที่ติดหู เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่โจ้ผู้ล่วงลับ และเนื้อเพลงที่่"โดน"อย่างปฏิเสธไม่ได้ นั้นจะล้าสมัยแม้แต่นิดเดียว
น่าแปลกใจที่อัลบั้มที่เรียบง่ายอย่าง Mild จะมีความเป็นอมตะในใจของผม (และอาจในใจของคนอื่นด้วย) น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถหาซื้อ cd ของเพลงนี้มาเก็บไว้ได้ เนื่องจากในสมัยที่เริ่มฟังพอสก็นานหลายปีหลังจากที่อัลบั้มนี้ออกมาสู่ตลาดแล้ว ไม่ว่าจะเดินไปร้านไหนก็หาไม่พบเสียที สุดท้ายวงพอสก็ไม่ได้ครอบครองเงินในกระเป๋าของผมสำหรับอัลบั้มนี้ (แต่ได้ไปจากแผ่น ultimate collection)
ทำไมพอสถึงไม่ตาย?
เป็นคำถามที่ผมสงสัยมาก ว่าทำไมวงดนตรีนึงแม้จะจบสิ้นไปแล้ว แต่ดนตรีของวงนั้นกลับไม่ตาย พี่โจ้ก็จากโลกไปแล้ว ส่วนสมาชิกบางคนก็ไปอยู่กับ crescendo ซึ่งก็เป็นวงที่ผมชอบอีกวงหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถแทนที่พอสได้ ทั้งๆที่ในตลาดแล้ว มีวงดนตรีมากมายที่มีความแปลกใหม่ และฝีมือเหนือกว่าพอส ก็ไม่น้อย แต่ลึกๆแล้วผมบอกได้ว่าพอสเป็นวงดนตรีไทยที่มีคุณภาพมากที่สุด
ถ้าจะคิดหาคำอธิบายง่ายๆจากมุมมองของนักดนตรีสมัครเล่นอย่างผมก็คงเป็นว่า พอสเป็นวงดนตรีที่มีความ"ลงตัว"ที่สุด ความไม่หวือหวาของเนื้อดนตรี เสียงร้องที่สูงและไม่มีใครเหมือนของพี่โจ้ และการเขียนเืนื้อร้องสไตล์เบเกอรี่ที่มีความเป็นกวี เพ้อฝันนิดๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีเนื้อหาติดดินที่คนทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงได้ ทั้งหมดนี้ผสมผสานกลายเป็นความลงตัวที่สุดในวงการเพลงไทย (ในสายตาผม)
ในใจแล้ว ผมคิดว่าเพลงดาว เป็นเพลงไทยที่ผมชื่นชอบที่สุด (ตลอดกาล) ด้วยเหตุผลที่คิดว่าคงอธิบายไม่ได้ แต่อาจเป็นเพราะ"ความลงตัว"ที่กล่าวไว้ก่อนหน้า รวมกับประสบการณ์ส่วนตัว เวลาฟังเพลงนี้ หรือหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นเพลงนี้ก็รู้สึกอุ่นๆในใจทุกครั้งไป (เว่อมากไปหรือเปล่า)
เชื่อว่า คนเราส่วนมากเวลาฟังเพลงที่เคยฟังเมื่อก่อน บางทีก็นึกถึงบางช่วงเวลาในชีวิตที่เคยผ่าน ตัวผมเองก็ไม่เว้นเช่นกัน เมื่อหยิบอัลบั้ม Mild ของพอสมาฟัง ก็นึกกลับไปถึงช่วงเวลามากมาย
จำได้ว่าช่วงที่ฟังอัลบั้มนี้บ่อยๆคือช่วงหัวเกรียนเรียนรด.กับไอ้คุ้ง ไอ้เอก จำได้ว่านั่งสองแถวไปกลับจากบางละมุงไปสัตหีบเพื่อเรียนรด. ช่วงเดือนเจ็ดชลบุรีฝนตกบ่อยมาก แต่ยังดีที่ไม่ใช่ปีแรก จึงไม่ต้องออกฝึกสนามบ่อยนัก
นึกถึงสมัยเรียน isr ทุกวันหลังเลิกเรียนก็จะวิ่งไปห้องดนตรีเพื่อซ้อมเปียโนอย่างไม่รู้จักพอ อยู่กับเพื่อนที่เป็นนักเรียนประจำจนนักเรียนไปกลับหายกลับบ้านไปหมดแล้ว เดินเล่นในโรงเรียนช่วงห้าหกโมงเย็นรอให้แม่มารับ บางทีก็อยู่คนเดียวเล่นเปียโน ไม่ก็เล่นคอม ทุกครั้งกว่าแม่จะมารับก็เกือบมืดแล้ว
แม้่ว่าบ้านผมจะอยู่ริมทะเล แต่ทุกๆวันที่กลับบ้านก็มืดจนมองไม่เห็นทะเลแล้ว จะได้ยินก็แต่เสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งอย่างไม่เคยหยุดหย่อน หลังกินข้าวเย็นทุกวันผมก็จะเก็บตัวอยู่ในห้องนอน เล่นคอม เล่นเปียโนตัวโปรด จำได้ว่ายืมกีต้าร์โปร่งไนลอนจากไอ้อาท (ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่บ้าน) มาฝึกเล่นเองตอนปีสุดท้ายของ isr พยายามฝึกจำคอร์ดวันละเกือบสองชั่วโมง ความรู้สึกที่ต้องทนเจ็บนิ้วจากการเล่นกีต้าร์นั้น ทุกวันนี้แทบจะจำไม่ได้แล้วว่ารู้สึกอย่างไร
ทุกๆวันศุกร์ผมก็จะติดรถบัสของนักเรียนประจำเข้ากรุงเทพในตอนเย็น (แอบขึ้น) เพื่อไปค้างบ้านอาม่าอากงในช่วงสุดสัปดาห์ ทุกครั้งกว่าจะถึงกรุงเทพก็ทุ่มสองทุ่มแล้ว แต่ไม่วายก็ยังอยากเดินเล่นที่เยาฮัน(ฟอร์จูนทาวน์ โลตัสรัชดา) บางครั้งก็ซื้อแผ่นเกม แผ่นเพลงติดมือมาบ้าง คืนวันศุกร์ผมก็จะอยู่คนเดียวในห้องนอน นั่งเล่น ps2 จนดึกดื่น
คิดถึงบางครั้งไปนอนบ้านไอ้ต๊อบ อยู่แถวๆเดียวกันบนถนนพระรามเก้า นึกถึงรถบีเอ็มสีแดงของมันที่ขับมารับมาส่ง บางครั้งก็ไปกินไดโดมอนชั้นใต้ดินเยาฮันกัน กลับถึงบ้านมันก็ดวดวิ่นนิ่งกันจนตีสามตีสี่ แรกๆก็พอชนะบ้าง แต่นัดหลังๆจะแพ้เรื่อยไป ไอ้ต๊อบเป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ชนะวิ่นนิ่งผม
นึกถึงทุกเย็นวันอาทิตย์ที่ไปเรียนการอัดเสียงที่ genx ถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง แล้วเช้าวันจันทร์ที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อติดรถอาจารย์นรงกลับไปชลบุรี เพื่อใ้ห้ทันเข้าเรียนแปดโมงครึ่งตอนเช้า
คิดถึงช่วงเวลาที่ได้เล่นในวงออเคสตร้าในโรงเรียน ได้เล่นดนตรีร่วมกับคนอื่นเป็นวงใหญ่ๆ เล่นคอนเสิร์ทโรงเรียงปีละหลายครั้งกับไอ้คุ้ง ตั้งแต่เข้า isr จนเรียนจบ นับครั้งไม่ถ้วนว่าได้ขึ้นเวทีกี่รอบ
นึกถึงวันที่ประกวด talent show ปีแรกแล้วช่วยให้เกิ้นได้ที่ 1 ไอ้เอ็มได้ที่ 2
คิดถึงช่วงเวลาที่ดีใจสุดชีวิต กระโดดกอดคอกับไอ้โนเอล ไอ้โยชิและไอ้หมิงที่ชนะประกวด battle of the bands ปีสุดท้ายที่โรงเรียน และช่วงเวลาที่ประกาศผลว่าสีฟ้าชนะลอยกระทง
คิดถึงวันเวลาที่ลากแตะตะลอนกรุงเทพคนเดียวจนพ่อชอบว่าว่าทำไมชอบใส่รองเท้าแตะ ดูไม่เรียบร้อย
เรื่องราวพวกนี้ผ่านมากี่ปีแล้ว
วันนี้ผมยืนอยู่ไกลจากจุดนั้นเหลือเกิน ทุกวันนี้มองดูรอบๆตัว เพื่อนรุ่นเดียวกันบ้างก็เรียนจบแล้ว บางคนก็เกือบจบ ตัวผมเองก็จะจบในครึ่งปี
หลายคนบอกว่า ผมไม่เปลี่ยนไปเลย แต่จากมุมมองแล้วผมว่าผมเปลี่ยนไปมาก ข้างในลึกๆแล้วยังหวนนึกถึงวัยรุ่นที่ผ่านไปแล้ว หลายคนบอกผมใช้ชีวิตไม่คุ้ม ผมว่าไม่จริง
จากเด็กกรุงเทพที่มาโตบ้านนอก ลากแตะ กินส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ปลาหมึกปิ้ง จนถึงวันนี้เป็นปีที่สามแล้วที่มาใช้ชีวิตอยู่อีกฟากนึงของโลก เห็นโลกที่สาม และโลกที่หนึ่งในหลายแง่มุม ผมว่าุุคุ้ม
แต่ถ้าชีวิตเลือกได้ผมอยากกดปุ่ม rewind กลับไปใช้ชีวิตสมัย isr อีกครั้ง
แต่อะไรๆคงไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะถ้าจะพยายามขนาดนั้นคงต้องลำบากที่จะเดินทางด้วยความเร็วแสง เกี่ยวพันกับสสารมืด และอาจรบกวน space-time continuum ให้เป็นที่ยุ่งยาก
ทุกๆวันนี้อะไรๆก็ต่างจากเดิมมาก
ไอ้คุ้ง ไอ้เอก ไอ้ต๊อบ ก็อยู่อังกฤษ
ไอ้อาทก็อยู่ออส
ที่เหลือก็อยู่ไทย
ทุกคนก็มีทางของตัวเองที่ต้องเดิน
เมื่อสี่ปีก่อนก็ไม่เคยคิดว่า จะต้องจากบ้านมาไกลขนาดนี้ ไม่เคยนึกว่าวันนี้จะมานั่งในคอมแลปมหาลัยนั่งเขียนเกี่ยวกับชีวิตสมัยม.ปลาย
คิดถึงครอบครัวและญาติ คิดถึงห้องนอนที่กรุงเทพ
คิดถึงไ้อ้คุ้ง ไอ้เอก ไอ้ต๊อบ ไอ้อาท ไอ้ใหญ่ และเพื่อนๆ isr ทุกคน
คิดถึงไอ้โนเอล น้องชายไม่แท้ของผม
คิดถึงโรบิน ที่เคยเขียนเพลงด้วยกัน
คิดถึงร้านส้มตำกับร้านก๋วยเตี๋ยวไก่หน้าปากซอยหน้าบ้าน
บางครั้งก็คิดถึงคนที่ชีวิตนี้คงจะไม่มีวันจะได้เจออีกแล้ว
บางทีการฟังเพลงเก่าๆก็ทำให้หวนนึกถึงอะไรเยอะเหมือนกัน
Tuesday, June 16, 2009
Wednesday, June 10, 2009
Citizen Kane: สิ่งที่ชายผู้มีทุกอย่างไม่เคยได้ครอบครอง
ในวันปิดเทอมที่น่าเบื่อของผม กิจกรรมอย่างหนึ่งก็คือดูหนัง วันๆนั่งดูหนังที่เข้าใหม่บ้าง หนังที่คนนั้นว่าดีบ้าง หลังจากพักหนึ่ง ก็หมดเรื่องจะดู
จึงลากหน้าต่างสนทนาขึ้นมาถามจอนนี่เอ็กซ์เพื่อนร่วมคณะ (วิศวะกรรมไฟฟ้า และดอทเอ) ว่ามีหนังอะไรในโลกนี้บ้างที่ผมควรจะดู นายจอนนี่จึงโยนหนังชื่อ Citizen Kane นี้มาเข้าหัวให้ได้รับรู้กัน

หลังจากลองค้นหาดูสักพัก พบว่าในอันดับ AFI's 100 years 100 movies ที่ American Film Institute ได้จัดอันดับหนังที่ดีที่สุด 100 เรื่องใน 100 ปีที่ผ่านมานี้ Citizen Kane นั้นรั้งอยู่อันดับแรกสุด
ในใจอยากรู้มากว่า หนังที่รั้งอันดับแรกของลิสต์นี้ จะดีแค่ไหน จึงได้สรรหามาดู
(spoiler alert: หากใครที่สนใจอยากหาหนังเรื่องนี้มาดูอย่างมีอรรถรสเต็มที่ กรุณาอย่าอ่าน post นี้)
พอโหลดมาเริ่มดูผมก็ตกใจ เพราะ Citizen Kane เป็นหนังขาวดำ (หนังออกมาตอนปี 1941) โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยจะเคยดูหนังขาวดำมาก่อน (เหมือนเด็กไทยทั่วไป) ลึกๆแล้วก็ด่วนสรุปว่า หนังมันจะดีจริงหรอ เก่าขนาดนี้ แต่....
ก็นั่ง (นอน) ดูจนจบ...
Citizen Kane เป็นหนังที่สร้างและกำกับ(และแสดงนำ)โดย Orson Welles ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ซึ่ง Citizen Kane นั้นถือว่าเป็นหนังแจ้งเกิดของเขาเลยทีเดียว น่าเสียดายอย่างหนึ่ง ดังเนื่องจากพล๊อตเรื่องของหนังเรื่องนี้มี แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของบุคคลซึ่งมีอิทธิพลมากผู้หนึ่งในยุคนั้น และมีเนื้อหาที่ค่อนข้างออกแนววิจารณ์ชีวิตของบุคคลคนนั้น จึงทำให้บุคคลนั้นพยายามที่จะลอบบี้ให้หนังเรื่องนี้ไม่ถูกฉายในโรงหนังหลายโรง และส่งผลให้รายได้ box office ออกมาไม่มากเท่าที่ควร แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นหนังที่ทำรายได้สูงเรื่องหนึ่ง
เนื้อเรื่องโดยย่อ:
หนังเรื่องนี้ดำเนินเนื้อเรื่องตามชีวิตของนาย Charles Foster Kane
หนังเปิดมาด้วยฉากที่นาย Kane ผู้ที่ชราภาพมากแล้ว สิ้นใจลงบนเตียงในคฤหาสน์ที่ใหญ่โตของตนเอง โดยทิ้งคำพูดสั้นๆสุดท้ายที่เป็นปริศนาว่า "rosebud"
Kane เป็นเจ้าของธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลมากในสหรัฐยุคนั้น ช่วงบั้นปลายชีวิตเขาสร้างคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Xanadu) และกว้านซื้อสมบัติต่างๆไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นหรืองานศิลป์หลากหลายเพื่อนำมาเป็นของสะสมส่วนตัว
หลังจากการจากไปของ Kane สำนักข่าวแห่งหนึ่งสงสัยว่า คำพูดคำสุดท้ายของ Kane ที่ว่า rosebud นั้น มีความหมายว่าอย่างไร สิ่งที่ชายผู้สามารถครอบครองทุกอย่างในโลกนี้เอ่ยปากเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนสิ้นใจนั้น จะหมายถึงอะไร หลายคนเดาว่า อาจหมายถึงผู้หญิง เพราะความรักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ท้ายที่สุดหาข้อสรุปไม่ได้จึงส่งนักข่าวหนุ่มคนหนึ่งออกสืบเรื่องราวเพื่อหาคำตอบที่แท้จริงของ rosebud นี้
การดำเนินเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้คือการที่นักข่าวหนุ่มไปเยี่ยมเยียนผู้คนต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของ Kane ในหลายช่วงวัย นักข่าว(และผู้ชม) ก็ต่างค่อยๆรู้ความเป็นมาของชีวิต Kane ตามลำดับเวลาตั้งแต่เด็ก
โดยรวบรัดแล้ว Kane เกิดมาในความยากจน แต่โชคชะตาก็เปลี่ยนไปเมื่อมีการค้นพบเหมืองทอง"ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก"บนที่ดินของมารดาของเขา Kane ถูกส่งไปอยู่ภายใต้การดูแลของนายธนาคารคนหนึ่งเนื่องจากบิดาของเขาชอบใช้ความรุนแรง เมื่อ Kane เติบโตขึ้นก็ปฏิเสธที่จะสืบต่อกิจการอย่างอื่นจากนายธนาคารนอกจากกิจการหนังสือพิมพ์เท่านั้น เขาเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างหนังสือพิมพ์ที่ถ่ายทอดความจริงโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ ภายแรกขาดทุนมากแต่ในภายหลังก็ประสบความสำเร็จ
Kane สมรสกับหลานของประธานาธิบดีและพยายามดันตนเองเข้าสู่วงการการเมือง แต่กลับล้มเหลวเนื่องจากโดนแบล็คเมล์เรื่องความสัมพันธ์ชู้สาว Kane ได้หย่ากับภรรยาหลังจากนั้นและแต่งงานกับผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย ในช่วงหลังของชีวิต Kane ได้ใช้กำลังทรัพย์ในการกว้านสร้างคฤหาสน์ Xanadu และกว้านซื้อสมบัติต่างๆมาสะสม ภรรยาคนที่สองของ Kane ได้จากเขาไปเนื่องจากความไม่เข้าใจกัน Kane อยู่โดยลำพังในคฤหาสน์หลังใหญ่โตจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาไม่มีความสุข
แล้ว rosebud คืออะไร?
นักข่าวหนุ่ม จนสุดท้ายแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ นักข่าวทีแรกพยายามสรุปว่าเป็นหญิงสาว หรือความรักที่ไม่สมหวังในชีวิต Kane แต่ภรรยาทั้งสองคนก็ไม่ใช่คำตอบ ทรัพย์สินที่ Kane ไม่สามารถหามาครอบครองได้ก็ไม่มีในโลก หลังจากความพยายามทั้งหมดแล้ว นักข่าวก็ยอมแพ้ และหันหลังจากไป
ในฉากสุดท้าย คนกลุ่มหนึ่งกำลังโยนสิ่งสะสมที่ไร้ค่าของ Kane เข้าไปในเตาเผา กล้องซูมเข้าไปสู่ของในมือของคนงานคนหนึ่ง เป็นเลื่อนหิมะเก่าๆ บนเลื่อนหิมะนั้นมีตัวอักษรเขียนว่า "rosebud" แล้วเขาก็โยนเลื่อนเข้าเตาเผาไป
แล้วแปลว่าอะไร?
ฉากหนึ่งในตอนแรก ในวัยเด็กของ Kane เขากำลังจะถูกพาตัวไปโดยที่ไม่ได้รู้มาก่อนโดยนายธนาคาร Kane เล่นหิมะอยู่นอกบ้านกับเลื่อนหิมะของเขา ส่วนพ่อแม่ของเขาคุยกับนายธนาคารอยู่ในบ้าน เมื่อตกลงกันเรียบร้อย แม่ของเขาก็เดินออกมานอกบ้าน บอกเขาว่าจากนี้ไปเขาต้องตามไปอยู่กับนายธนาคาร Kane แสดงอาการไม่ยินยอม เมื่อนายธนาคารพยายามที่จะพา Kane ไปเขาก็เอาเลื่อนหิมะนั้นเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากนายธนาคาร
ดังนั้นฉากสุดท้ายที่ผู้ชมพบว่าปริศนา rosebud ที่แท้หมายถึงเลื่อหิมะอันนี้ ก็นำไปสู่การตีความได้หลากหลาย ตัวผมเองก็รู้สึกไม่แน่ใจกับการตีความส่วนตัวเช่นกัน
แต่สิ่งแรกที่สรุปได้คือ rosebud หรือเลื่อนหิมะ คงเป็นตัวแทนในวัยเด็กของ Kane ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถที่จะซื้อสิ่งของทุกอย่างในโลก แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ เขาเองก็ไม่ได้ต้องการความรักจากผู้หญิงคนใดด้วย แต่สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตเขาคือวัยเด็ก และความรักจากพ่อแม่ Kane อาจคิดว่า ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนรวย และใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในบ้านนอกเหมือนที่ควรจะเป็น สุดท้ายในชีวิตเขาอาจมีความสุขกว่าการได้เป็นคนที่ร่ำรวยอันดับต้นๆของสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้
ผมว่าลึกๆแล้วในใจทุกคนก็มีสิ่งที่ตนเองถวิลหาอยู่อย่างหนึ่ง แต่รู้ตัวว่าไม่มีวันจะได้มา ไม่เว้นแม้แต่คนที่คนอื่นมองว่าเป็นคนที่มีทุกอย่างพร้อม และได้ในทุกสิ่งที่ตนเองต้องการ
โดยส่วนตัวแล้วหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่หนังเรื่องที่ดีที่สุดที่เคยดูมา นักแสดงบางคนก็รู้สึกว่าท่าทางออกจะแข็งๆ(อาจเป็นคนละสไตล์กับสมัยนี้) แต่ก็คงต้องให้เครดิทว่าหนังเรื่องนี้มาในปี 1941 นายจอนนี่เอ็กซ์ก็ให้เกร็ดเพิ่มประมาณว่า การใช้มุมกล้องในบางตอนของหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนการปฏิวัติวงการภาพยนต์ และพล๊อตเรื่องประมาณนี้ไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนว่าในใจของผม Citizen Kane ย่อมสู้กับ Shawshank Redemption ไม่ได้อย่างแน่นอน
ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยกับการดูหนังนิดหน่อย อาจพักสักครู่แล้วดูต่อในวันหลัง
พบกันเมื่อชาติต้องการ
จึงลากหน้าต่างสนทนาขึ้นมาถามจอนนี่เอ็กซ์เพื่อนร่วมคณะ (วิศวะกรรมไฟฟ้า และดอทเอ) ว่ามีหนังอะไรในโลกนี้บ้างที่ผมควรจะดู นายจอนนี่จึงโยนหนังชื่อ Citizen Kane นี้มาเข้าหัวให้ได้รับรู้กัน

หลังจากลองค้นหาดูสักพัก พบว่าในอันดับ AFI's 100 years 100 movies ที่ American Film Institute ได้จัดอันดับหนังที่ดีที่สุด 100 เรื่องใน 100 ปีที่ผ่านมานี้ Citizen Kane นั้นรั้งอยู่อันดับแรกสุด
ในใจอยากรู้มากว่า หนังที่รั้งอันดับแรกของลิสต์นี้ จะดีแค่ไหน จึงได้สรรหามาดู
(spoiler alert: หากใครที่สนใจอยากหาหนังเรื่องนี้มาดูอย่างมีอรรถรสเต็มที่ กรุณาอย่าอ่าน post นี้)
พอโหลดมาเริ่มดูผมก็ตกใจ เพราะ Citizen Kane เป็นหนังขาวดำ (หนังออกมาตอนปี 1941) โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยจะเคยดูหนังขาวดำมาก่อน (เหมือนเด็กไทยทั่วไป) ลึกๆแล้วก็ด่วนสรุปว่า หนังมันจะดีจริงหรอ เก่าขนาดนี้ แต่....
ก็นั่ง (นอน) ดูจนจบ...
Citizen Kane เป็นหนังที่สร้างและกำกับ(และแสดงนำ)โดย Orson Welles ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ซึ่ง Citizen Kane นั้นถือว่าเป็นหนังแจ้งเกิดของเขาเลยทีเดียว น่าเสียดายอย่างหนึ่ง ดังเนื่องจากพล๊อตเรื่องของหนังเรื่องนี้มี แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของบุคคลซึ่งมีอิทธิพลมากผู้หนึ่งในยุคนั้น และมีเนื้อหาที่ค่อนข้างออกแนววิจารณ์ชีวิตของบุคคลคนนั้น จึงทำให้บุคคลนั้นพยายามที่จะลอบบี้ให้หนังเรื่องนี้ไม่ถูกฉายในโรงหนังหลายโรง และส่งผลให้รายได้ box office ออกมาไม่มากเท่าที่ควร แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นหนังที่ทำรายได้สูงเรื่องหนึ่ง
เนื้อเรื่องโดยย่อ:
หนังเรื่องนี้ดำเนินเนื้อเรื่องตามชีวิตของนาย Charles Foster Kane
หนังเปิดมาด้วยฉากที่นาย Kane ผู้ที่ชราภาพมากแล้ว สิ้นใจลงบนเตียงในคฤหาสน์ที่ใหญ่โตของตนเอง โดยทิ้งคำพูดสั้นๆสุดท้ายที่เป็นปริศนาว่า "rosebud"
Kane เป็นเจ้าของธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลมากในสหรัฐยุคนั้น ช่วงบั้นปลายชีวิตเขาสร้างคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Xanadu) และกว้านซื้อสมบัติต่างๆไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นหรืองานศิลป์หลากหลายเพื่อนำมาเป็นของสะสมส่วนตัว
หลังจากการจากไปของ Kane สำนักข่าวแห่งหนึ่งสงสัยว่า คำพูดคำสุดท้ายของ Kane ที่ว่า rosebud นั้น มีความหมายว่าอย่างไร สิ่งที่ชายผู้สามารถครอบครองทุกอย่างในโลกนี้เอ่ยปากเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนสิ้นใจนั้น จะหมายถึงอะไร หลายคนเดาว่า อาจหมายถึงผู้หญิง เพราะความรักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ท้ายที่สุดหาข้อสรุปไม่ได้จึงส่งนักข่าวหนุ่มคนหนึ่งออกสืบเรื่องราวเพื่อหาคำตอบที่แท้จริงของ rosebud นี้
การดำเนินเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้คือการที่นักข่าวหนุ่มไปเยี่ยมเยียนผู้คนต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของ Kane ในหลายช่วงวัย นักข่าว(และผู้ชม) ก็ต่างค่อยๆรู้ความเป็นมาของชีวิต Kane ตามลำดับเวลาตั้งแต่เด็ก
โดยรวบรัดแล้ว Kane เกิดมาในความยากจน แต่โชคชะตาก็เปลี่ยนไปเมื่อมีการค้นพบเหมืองทอง"ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก"บนที่ดินของมารดาของเขา Kane ถูกส่งไปอยู่ภายใต้การดูแลของนายธนาคารคนหนึ่งเนื่องจากบิดาของเขาชอบใช้ความรุนแรง เมื่อ Kane เติบโตขึ้นก็ปฏิเสธที่จะสืบต่อกิจการอย่างอื่นจากนายธนาคารนอกจากกิจการหนังสือพิมพ์เท่านั้น เขาเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างหนังสือพิมพ์ที่ถ่ายทอดความจริงโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ ภายแรกขาดทุนมากแต่ในภายหลังก็ประสบความสำเร็จ
Kane สมรสกับหลานของประธานาธิบดีและพยายามดันตนเองเข้าสู่วงการการเมือง แต่กลับล้มเหลวเนื่องจากโดนแบล็คเมล์เรื่องความสัมพันธ์ชู้สาว Kane ได้หย่ากับภรรยาหลังจากนั้นและแต่งงานกับผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย ในช่วงหลังของชีวิต Kane ได้ใช้กำลังทรัพย์ในการกว้านสร้างคฤหาสน์ Xanadu และกว้านซื้อสมบัติต่างๆมาสะสม ภรรยาคนที่สองของ Kane ได้จากเขาไปเนื่องจากความไม่เข้าใจกัน Kane อยู่โดยลำพังในคฤหาสน์หลังใหญ่โตจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาไม่มีความสุข
แล้ว rosebud คืออะไร?
นักข่าวหนุ่ม จนสุดท้ายแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ นักข่าวทีแรกพยายามสรุปว่าเป็นหญิงสาว หรือความรักที่ไม่สมหวังในชีวิต Kane แต่ภรรยาทั้งสองคนก็ไม่ใช่คำตอบ ทรัพย์สินที่ Kane ไม่สามารถหามาครอบครองได้ก็ไม่มีในโลก หลังจากความพยายามทั้งหมดแล้ว นักข่าวก็ยอมแพ้ และหันหลังจากไป
ในฉากสุดท้าย คนกลุ่มหนึ่งกำลังโยนสิ่งสะสมที่ไร้ค่าของ Kane เข้าไปในเตาเผา กล้องซูมเข้าไปสู่ของในมือของคนงานคนหนึ่ง เป็นเลื่อนหิมะเก่าๆ บนเลื่อนหิมะนั้นมีตัวอักษรเขียนว่า "rosebud" แล้วเขาก็โยนเลื่อนเข้าเตาเผาไป
แล้วแปลว่าอะไร?
ฉากหนึ่งในตอนแรก ในวัยเด็กของ Kane เขากำลังจะถูกพาตัวไปโดยที่ไม่ได้รู้มาก่อนโดยนายธนาคาร Kane เล่นหิมะอยู่นอกบ้านกับเลื่อนหิมะของเขา ส่วนพ่อแม่ของเขาคุยกับนายธนาคารอยู่ในบ้าน เมื่อตกลงกันเรียบร้อย แม่ของเขาก็เดินออกมานอกบ้าน บอกเขาว่าจากนี้ไปเขาต้องตามไปอยู่กับนายธนาคาร Kane แสดงอาการไม่ยินยอม เมื่อนายธนาคารพยายามที่จะพา Kane ไปเขาก็เอาเลื่อนหิมะนั้นเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากนายธนาคาร
ดังนั้นฉากสุดท้ายที่ผู้ชมพบว่าปริศนา rosebud ที่แท้หมายถึงเลื่อหิมะอันนี้ ก็นำไปสู่การตีความได้หลากหลาย ตัวผมเองก็รู้สึกไม่แน่ใจกับการตีความส่วนตัวเช่นกัน
แต่สิ่งแรกที่สรุปได้คือ rosebud หรือเลื่อนหิมะ คงเป็นตัวแทนในวัยเด็กของ Kane ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถที่จะซื้อสิ่งของทุกอย่างในโลก แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ เขาเองก็ไม่ได้ต้องการความรักจากผู้หญิงคนใดด้วย แต่สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตเขาคือวัยเด็ก และความรักจากพ่อแม่ Kane อาจคิดว่า ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนรวย และใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในบ้านนอกเหมือนที่ควรจะเป็น สุดท้ายในชีวิตเขาอาจมีความสุขกว่าการได้เป็นคนที่ร่ำรวยอันดับต้นๆของสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้
ผมว่าลึกๆแล้วในใจทุกคนก็มีสิ่งที่ตนเองถวิลหาอยู่อย่างหนึ่ง แต่รู้ตัวว่าไม่มีวันจะได้มา ไม่เว้นแม้แต่คนที่คนอื่นมองว่าเป็นคนที่มีทุกอย่างพร้อม และได้ในทุกสิ่งที่ตนเองต้องการ
โดยส่วนตัวแล้วหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่หนังเรื่องที่ดีที่สุดที่เคยดูมา นักแสดงบางคนก็รู้สึกว่าท่าทางออกจะแข็งๆ(อาจเป็นคนละสไตล์กับสมัยนี้) แต่ก็คงต้องให้เครดิทว่าหนังเรื่องนี้มาในปี 1941 นายจอนนี่เอ็กซ์ก็ให้เกร็ดเพิ่มประมาณว่า การใช้มุมกล้องในบางตอนของหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนการปฏิวัติวงการภาพยนต์ และพล๊อตเรื่องประมาณนี้ไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนว่าในใจของผม Citizen Kane ย่อมสู้กับ Shawshank Redemption ไม่ได้อย่างแน่นอน
ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยกับการดูหนังนิดหน่อย อาจพักสักครู่แล้วดูต่อในวันหลัง
พบกันเมื่อชาติต้องการ
Monday, June 8, 2009
ชำแหละ 100% woman
ชำแหละในที่นี้ จะไม่ได้มีการเกี่ยวข้องของวัตถุมีคมใดๆทั้งสิ้น แต่จะมานั่งสนทนา(บ่น) เกี่ยวกับเรื่องสั้นที่ได้เสนอไว้ในบล๊อกก่อนหน้า
ถ้ายังไม่ได้อ่าน ก็เลื่อนลงไปอ่านซะก่อนนะครับ
ถ้าลองมองรวมๆแบบดิบๆ เรื่องสั้นเรื่องนี้มีส่วนที่ฟังดูสะท้อนความจริง และส่วนที่โม้อยู่ไม่น้อย
คนเราคงไม่มีทางป่วยถึงขนาดสูญเสียความทรงจำ
และคนเราคงไม่(อันนี้โดยส่วนตัวแล้วไม่เคย แต่ถ้าใครเคยก็บอกด้วย)เดินไปเรื่อยๆแล้วเจอคนที่ใช่ 100% และแน่ใจโดยที่ไม่มีข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น
แต่ที่น่าแปลกใจคือ ผมได้อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้เมื่อประมาณหลายเดือนก่อน แต่คล้ายๆกับว่า มีบางอย่างติดอยู่ในใจ ยากที่จะอธิบายได้
จริงหรือที่ในโลกนี้จะมีคนที่เหมาะสมกับเรา 100%
อันนี้ถ้าคิดดูตามหลักสถิติแล้วก็น่าจะจริง โลกนี้มีประชากรหลายพันล้านคน ถ้าอ้างอิงตาม normal distribution แล้ว มันก็น่าจะมีคนที่เหมาะกับเรา 50% 80% 97% 99% 99.99% หรือ 100% อยู่ที่ส่วนหางของ bell curve
สมมติว่า นายเอเป็นคนไทย อย่าง นายเอคงไม่มีแนวโน้มที่่จะมีรสนิยมในผู้หญิงแอฟริกัน อินเดีย หรือเอสกิโมอย่างแน่นอน ถ้าเราจะตัดสัดส่วนของประชากรในโลกที่เป็นหญิงสักครึ่งหนึ่งของ 6.7 พันล้านคน ก็จะเหลือ ประมาร 3.4 พันล้านคน เดาเอามั่วๆว่า เป็นผู้หญิงในเผ่าพันธุ์ที่นายเอโอเคอีกสักครึ่งหนึ่งของในนี้ ก็จะเหลืออีกประมาณ 1.7 พันล้านคน แต่ถ้าตัดอีกว่า ต้องเป็นผู้หญิงที่พูดภาษาเดียวกันกับนายเอได้ (โดยประมาณว่านายเอเชี่ยวชาญเพียงภาษาเดียว) ก็จำต้องเป็นคนในชาติเดียวกัน ซึ่งแต่ละชาติก็มีประชากรไม่เท่ากันอีก แต่ก็ยังอยู่ในตัวเลขที่เป็นหลักล้าน ดังนั้นถ้าคิดตามหลักสถิติแล้ว ผู้หญิงที่มีความเหมาะสมกับนายเอ 90% ขึ้นไป น่าจะมีอยู่หลายร้อย หลายพันคนอยู่
วันหนึ่งนายเออาจเดินไปชนกับผู้หญิง 100% เข้าเหมือนกับในเรื่องสั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ผมว่า ชีวิตคนเราเหมือนชิ้นจิ๊กซอว์ และคนที่เหลือในโลก ก็ต่างเป็นจิ๊กซอว์คนละชิ้น
ในทะเลของจิ๊กซอว์เป็นพันล้านชิ้น ผมคิดว่าคงต้องมีสักชิ้นที่ต่อกับชิ้นของเราได้อย่างพอดี ดังเช่นบุคคล 100%
คนบางคนวิ่งหาจิ๊กซอว์เป็นพันๆชิ้น แต่หาชิ้นที่พอดีไม่ได้ เหลือบไปเห็นชิ้นที่ใกล้เคียง ก็คว้ามาต่อ บางทีล๊อกอาจดูเหมือนลงรอย แต่ถ้ามันหลวมไป ก็ยากที่จะรั้งให้จิ๊กซอว์สองชิ้นติดกันตลอดไป ถ้าหากจิ๊กซอว์อีกชิ้นต่อไม่ลง แต่เรากลับฝืนดันมันให้ลงรอย คงดูขัดหูขัดตาไม่น้อย
บางทีปัญหาของคนเราคือ ไม่กล้าที่จะโยนจิ๊กซอว์ที่ดูใกล้เคียงนั้นทิ้งไป เพื่อหาจิ๊กซอว์ที่ต่อลงรอย 100% ต่อไป บางคนอาจไม่คิดว่าตนเองจะหาชิ้นที่ดีกว่าชิ้นที่ถืออยู่ได้ บางคนเหนื่อยที่จะลงไปว่ายวนในทะเลจิ๊กซอว์อีก
บางคนสูญเสียความสามารถที่จะรักเมื่อวัยผ่านไป ดังที่เห็นในเรื่อง
ผมคิดว่าจริง คนเราเมื่อวัยหนุ่มสาวเมื่อวันหนึ่งพานพบบุคคลที่ตนเองคิดว่าใช่ ก็ไร้ซึ่งข้อจำกัดและความสงสัยในจิตใจ แต่ในขณะเดียวกันหากจับบุคคลคู่เดียวกันมาพบกันในหลายปีให้หลัง สิ่งที่ทั้งคู่คิดอาจไม่เหมือนเดิม
คนเราเมื่อรู้เดียงสาขึ้นตามวัย ก็สร้างข้อจำกัดขึ้นมากมาย ทุกๆความคิดอาจถูกจำกัดด้วยคำว่า"ถ้า"
หรือความรับผิดชอบต่างๆเช่นหน้าที่ การงาน ภาพพจน์ สังคม และอื่นๆหลายหลาก
ท้ายที่สุดแล้วคนๆหนึ่งเมื่อรอเวลาและวัยที่ผ่านไป ก็สูญเสียความสามารถที่จะมองเห็นแม้กระทั่งจิ๊กซอว์ชิ้นที่เหมาะสม 100% ที่วางอยู่ต่อหน้า
คิดกลับมาในชีวิตจริง ทุกๆวันที่คุณตื่นขึ้นมา ก็มีความน่าจะเป็นที่วันนั้นคุณอาจเดินเจอบุคคล 100% อย่างไม่คิดมาก่อน ถึงเวลานั้นเราแต่ละคนจะทำอย่างไร
ไม่แน่บุคคล 100% อาจอยู่ในชีวิตของเราแต่ละคนอยู่แล้ว เพียงแต่เส้นผมที่บังภูเขาอาจทำให้มองไม่เห็น
หรือเราอาจเป็นบุคคล 100% สำหรับคนอีกคนหนึ่ง แต่เขาหรือเธออาจยังมองไม่เห็นเช่นกัน
ยิ่งเขียนกลับรู้สึกยิ่งอีโม
จึงขอจบเพียงเท่านี้
ถ้ายังไม่ได้อ่าน ก็เลื่อนลงไปอ่านซะก่อนนะครับ
ถ้าลองมองรวมๆแบบดิบๆ เรื่องสั้นเรื่องนี้มีส่วนที่ฟังดูสะท้อนความจริง และส่วนที่โม้อยู่ไม่น้อย
คนเราคงไม่มีทางป่วยถึงขนาดสูญเสียความทรงจำ
และคนเราคงไม่(อันนี้โดยส่วนตัวแล้วไม่เคย แต่ถ้าใครเคยก็บอกด้วย)เดินไปเรื่อยๆแล้วเจอคนที่ใช่ 100% และแน่ใจโดยที่ไม่มีข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น
แต่ที่น่าแปลกใจคือ ผมได้อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้เมื่อประมาณหลายเดือนก่อน แต่คล้ายๆกับว่า มีบางอย่างติดอยู่ในใจ ยากที่จะอธิบายได้
จริงหรือที่ในโลกนี้จะมีคนที่เหมาะสมกับเรา 100%
อันนี้ถ้าคิดดูตามหลักสถิติแล้วก็น่าจะจริง โลกนี้มีประชากรหลายพันล้านคน ถ้าอ้างอิงตาม normal distribution แล้ว มันก็น่าจะมีคนที่เหมาะกับเรา 50% 80% 97% 99% 99.99% หรือ 100% อยู่ที่ส่วนหางของ bell curve
สมมติว่า นายเอเป็นคนไทย อย่าง นายเอคงไม่มีแนวโน้มที่่จะมีรสนิยมในผู้หญิงแอฟริกัน อินเดีย หรือเอสกิโมอย่างแน่นอน ถ้าเราจะตัดสัดส่วนของประชากรในโลกที่เป็นหญิงสักครึ่งหนึ่งของ 6.7 พันล้านคน ก็จะเหลือ ประมาร 3.4 พันล้านคน เดาเอามั่วๆว่า เป็นผู้หญิงในเผ่าพันธุ์ที่นายเอโอเคอีกสักครึ่งหนึ่งของในนี้ ก็จะเหลืออีกประมาณ 1.7 พันล้านคน แต่ถ้าตัดอีกว่า ต้องเป็นผู้หญิงที่พูดภาษาเดียวกันกับนายเอได้ (โดยประมาณว่านายเอเชี่ยวชาญเพียงภาษาเดียว) ก็จำต้องเป็นคนในชาติเดียวกัน ซึ่งแต่ละชาติก็มีประชากรไม่เท่ากันอีก แต่ก็ยังอยู่ในตัวเลขที่เป็นหลักล้าน ดังนั้นถ้าคิดตามหลักสถิติแล้ว ผู้หญิงที่มีความเหมาะสมกับนายเอ 90% ขึ้นไป น่าจะมีอยู่หลายร้อย หลายพันคนอยู่
วันหนึ่งนายเออาจเดินไปชนกับผู้หญิง 100% เข้าเหมือนกับในเรื่องสั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ผมว่า ชีวิตคนเราเหมือนชิ้นจิ๊กซอว์ และคนที่เหลือในโลก ก็ต่างเป็นจิ๊กซอว์คนละชิ้น
ในทะเลของจิ๊กซอว์เป็นพันล้านชิ้น ผมคิดว่าคงต้องมีสักชิ้นที่ต่อกับชิ้นของเราได้อย่างพอดี ดังเช่นบุคคล 100%
คนบางคนวิ่งหาจิ๊กซอว์เป็นพันๆชิ้น แต่หาชิ้นที่พอดีไม่ได้ เหลือบไปเห็นชิ้นที่ใกล้เคียง ก็คว้ามาต่อ บางทีล๊อกอาจดูเหมือนลงรอย แต่ถ้ามันหลวมไป ก็ยากที่จะรั้งให้จิ๊กซอว์สองชิ้นติดกันตลอดไป ถ้าหากจิ๊กซอว์อีกชิ้นต่อไม่ลง แต่เรากลับฝืนดันมันให้ลงรอย คงดูขัดหูขัดตาไม่น้อย
บางทีปัญหาของคนเราคือ ไม่กล้าที่จะโยนจิ๊กซอว์ที่ดูใกล้เคียงนั้นทิ้งไป เพื่อหาจิ๊กซอว์ที่ต่อลงรอย 100% ต่อไป บางคนอาจไม่คิดว่าตนเองจะหาชิ้นที่ดีกว่าชิ้นที่ถืออยู่ได้ บางคนเหนื่อยที่จะลงไปว่ายวนในทะเลจิ๊กซอว์อีก
บางคนสูญเสียความสามารถที่จะรักเมื่อวัยผ่านไป ดังที่เห็นในเรื่อง
ผมคิดว่าจริง คนเราเมื่อวัยหนุ่มสาวเมื่อวันหนึ่งพานพบบุคคลที่ตนเองคิดว่าใช่ ก็ไร้ซึ่งข้อจำกัดและความสงสัยในจิตใจ แต่ในขณะเดียวกันหากจับบุคคลคู่เดียวกันมาพบกันในหลายปีให้หลัง สิ่งที่ทั้งคู่คิดอาจไม่เหมือนเดิม
คนเราเมื่อรู้เดียงสาขึ้นตามวัย ก็สร้างข้อจำกัดขึ้นมากมาย ทุกๆความคิดอาจถูกจำกัดด้วยคำว่า"ถ้า"
หรือความรับผิดชอบต่างๆเช่นหน้าที่ การงาน ภาพพจน์ สังคม และอื่นๆหลายหลาก
ท้ายที่สุดแล้วคนๆหนึ่งเมื่อรอเวลาและวัยที่ผ่านไป ก็สูญเสียความสามารถที่จะมองเห็นแม้กระทั่งจิ๊กซอว์ชิ้นที่เหมาะสม 100% ที่วางอยู่ต่อหน้า
คิดกลับมาในชีวิตจริง ทุกๆวันที่คุณตื่นขึ้นมา ก็มีความน่าจะเป็นที่วันนั้นคุณอาจเดินเจอบุคคล 100% อย่างไม่คิดมาก่อน ถึงเวลานั้นเราแต่ละคนจะทำอย่างไร
ไม่แน่บุคคล 100% อาจอยู่ในชีวิตของเราแต่ละคนอยู่แล้ว เพียงแต่เส้นผมที่บังภูเขาอาจทำให้มองไม่เห็น
หรือเราอาจเป็นบุคคล 100% สำหรับคนอีกคนหนึ่ง แต่เขาหรือเธออาจยังมองไม่เห็นเช่นกัน
ยิ่งเขียนกลับรู้สึกยิ่งอีโม
จึงขอจบเพียงเท่านี้
Saturday, June 6, 2009
On meeting my 100% woman on one fine april morning
"On meeting my 100% woman on one fine april morning" เป็นเรื่องสั้นที่แต่งโดย Haruki Murakami นักเขียนชาวญี่ปุ่นซึ่งมีอิทธิพลมากในงานเขียนร่วมสมัย
ความเป็นมาย่อๆของนักเขียนคนนี้ คือ ยังไม่ตาย น่าจะอายุประมาณ 60 เป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตในยุค 70-80 โดยเป็นเจ้าของแจ๊ซบาร์ จัดได้ว่าเป็นคนเมืองที่มีรูปแบบชีวิตที่ค่อนข้างมีสีสัน งานเขียนของ Murakami มันจะเป็นเรื่องสั้นที่ผสมผสานโลกในยุคปัจจุบันในชีวิตของเขา และโลกในจินตนาการที่ค่อนข้างแปลก และมักจะจบงานเขียนของเขาด้วยการหักมุมเล็กๆแต่มีความหมายลึกๆซ่อนอยู่ให้ผู้อ่านได้ตีความกันได้หลายด้าน เรียกได้ว่าเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้งานเขียนของ Murakami เป็นที่นิยม
เรื่อง 100% woman นี้เข้าใจว่า ยังไม่เคยได้รับการแปลเป็นภาษาไทยมาก่อน (ถ้าผิดพลาดอย่างไร ขออภัย) แต่จะหน้าด้านแปลให้ได้อ่านกัน ณ ที่นี้

-------------------------------------------------------------------------------------
ในเช้าที่สดใสของเดือนเมษายน ผมได้เดินผ่าน ผู้หญิง 100% บนถนนหลังฮาราจุกุ
เธอไม่ใช่คนสวย และก็ไม่ใช่ว่าเธอใส่เสื้อผ้าพิเศษอะไรด้วย มองจากข้างหลังแล้ว หัวเธอเหมือนเพิ่งตื่นนอน เธอน่าจะอายุใกล้สามสิบ แต่แม้ว่าผมจะมองเธอไกลจากระยะสัก 50 เมตร ผมรู้ว่าเธอคือผู้หญิงที่เหมาะสม 100% สำหรับผม ตั้งแต่วินาทีที่ผมเห็นเธอ ผมใจสั่น ปากผมแห้งผาด
บางทีคุณอาจมีสเปคของผู้หญิงที่คุณชอบ ตัวอย่างเช่น บางคนชอบผู้หญิงหุ่นบาง บางคนชอบผู้หญิงตาโต บางคนก็ชอบผู้หญิงนิ้วเรียวยาว
แต่ไม่มีใครสามารถให้นิยามของ ผู้หญิง 100% ได้อย่างชัดเจน
แต่สิ่งนึงที่ผมรู้คือ ผมไม่สามารถจำได้แม้แต่ว่าจมูกเธอเป็นอย่างไร เธอมีจมูกหรือเปล่าผมก็ยังไม่แน่ใจ ผมจำได้แค่เพียงว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงสวย ช่างแปลกอะไรเช่นนี้
ผมบอกใครบางคนว่า "เมื่อวาน ผมเดินผ่านผู้หญิง 100% บนถนน"
"หืม," เขาตอบ "เธอสวยหรือเปล่า?"
"มันไม่เชิงอย่างนั้น"
"โอ้, เธอเป็นแบบที่นายชอบหรอ?"
"ผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นตาของเธอ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหน้าอกเธอเล็กหรือใหญ่"
"แปลกนะ นายว่าไหม"
"อืม แปลกจริง"
"งั้น" เขาพูดต่อ ท่าทางเบื่อ "แล้วนายได้พูดกับเธอ หรือตามเธอไปหรือเปล่า?"
"เปล่าเลย" ผมตอบ "แค่เดินผ่านเฉยๆ"
วันนั้น เธอเดินจากตะวันออกไปตะวันตก ส่วนผมเดินจากตะวันตกไปตะวันออก มันช่างเป็นเช้าที่สวยงามในเดือนเมษายน
ผมกลับมาคิดว่าผมน่าจะคุยกับเธอ สักสามสิบนาทีก็คงดี ผมอยากรู้เกี่ยวกับชีวิตของเธอ อยากบอกเธอเกี่ยวกับชีวิตของผม แต่มากกว่าสิ่งใด ผมอยากจะรู้ความจริง ว่าอะไรทำให้เราได้มาพบกันในซอยหลังถนนฮาราจุกุในเวลาเช้าของวันในเดือนเมษายน ปี 1981 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องมีความลับอะไรสักอย่าง เหมือนบุพเพสันนิวาส
แล้วผมน่าจะพาเธอไปทานข้าวเที่ยงที่ไหนสักที่ อาจจะดูหนังหลังจากนั้น ไปเล้าจน์เพื่อดื่มนิดหน่อย ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ดี ผมอาจได้มีโอกาสนอนกับเธอ
โอกาสกำลังเคาะประตูหัวใจของผมอยู่
ระยะระหว่างผมกับเธอกำลังใกล้เข้ามา เหลือแค่สิบห้าเมตร
เอาละ ผมควรพูดอะไรกับเธอดี?
"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณอยากจะคุยกับผมสักครึ่งชั่วโมงไหม?"
ตลกสิ้นดี เหมือนสิ่งที่คนขายประกันพูดเลย
"ขอโทษครับ แถวนี้มีร้านซักรีด 24 ชั่วโมงไหมครับ?"
งี่เง่าอยู่ดี เห็นชัดว่า ผมไม่ได้ถือตะกร้าเสื้อมาด้วย หรือว่าผมจะพูดตรงๆ "อรุณสวัสดิ์ครับ คุณคือผู้หญิง 100% ของผม"
เธอคงไม่เชื่อหรอก ถึงแม้เธอจะเชื่อ เธอคงจะคิดว่าเธอไม่อยากคุยกับผม ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง 100% ของผม แต่ผมก็ไม่ใช่ผู้ชาย 100% ของเธอแน่นอน สถานการณ์ต้องสับสนมากแน่ๆ
ผมเข้าใกล้เธอหน้าร้านดอกไม้ ผมรู้สึกถึงอากาศอุ่นๆที่สัมผัสผิวของผม น้ำไหลผ่านยางมะตอยที่ข้างถนน และกลิ่นดอกกุหลาบที่โชยมา ผมไม่สามารถเอ่ยคำใดๆกับเธอได้ เธอสวมเสวตเตอร์สีขาว และถือซองจดหมายที่ยังไม่ได้สแตมป์อยู่ในมือขวาของเธอ เธอเขียนจดหมายให้ใครบางคน ในเมื่อตาเธอดูง่วงเหลือเกิน เธอต้องใช้เวลาทั้งคืนเขียนจดหมายนั้นแน่ๆ และบางทีความลับทั้งหมดของเธออาจอยู่ในซองจดหมายนั้น
หลังจากอีกหลายก้าวผ่านไป เมื่อผมหันหลังกลับไป เธอก็หายลับไปในฝูงชนแล้ว
* * * * *
ในเวลานี้ ผมนึกออกแล้วว่าผมควรจะพูดกับเธอว่าอย่างไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นคำสารภาพรักที่ยาว ผมรู้ว่าผมคงจะพูดไม่ได้ดีอย่างที่คิด ผมคิดเสมอว่าเรื่องพวกนี้ไม่สมจริงเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม คำสารภาพของผมเริ่มด้วย "กาลครั้งหนึ่ง," และจบด้วย "คุณว่าเรื่องนี้เศร้าไหม?"
กาลครั้งหนึ่ง, ในที่แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มและหญิงสาว ชายหนุ่มอายุสิบแปดและหญิงสาวอายุสิบหก เขาไม่ได้เป็นคนหน้าตาดี และเธอก็ไม่ใช่สาวสวยเช่นกัน เขาและเธอก็ต่างเป็นคนที่ดูธรรมดาๆ ดังเช่นผู้คนที่โดดเดี่ยวทั่วไป แต่พวกเขาเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ทีใดที่หนึ่งในโลกนี้ จะต้องมีคนที่เหมาะสม 100% สำหรับตนอยู่อย่างแน่นอน
วันหนึ่ง พวกเขาทั้งสอง ก็ได้มาเจอกันที่มุมถนน "ช่างน่าแปลกใจจริง ผมได้ตามหาคุณมานานแสนนาน คุณอาจไม่เชือนะ แต่ว่าคุณเป็นผู้หญิง 100% สำหรับผม" ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาว
หญิงสาวตอบว่า "คุณก็เป็นผู้ชาย 100% สำหรับฉันเหมือนกัน คุณเป็นเหมือนที่ฉันคิดไว้ทุกประการ นี่เหมือนความฝันเลย"
ทั้งคุ่นั่งบนม้านั่งในสวนสาธารณะ พวกเขาคุยกันนานและไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยล้า คนทั้งสองไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว ช่างวิเศษที่คนสองคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายเหมาะสม 100% สำหรับตน
อย่างไรก็ตาม ข้อกังขาเล็กๆก็วิ่งผ่านห้วงความคิดของคนทั้งสอง มันจริงหรือ ที่ความฝันจะกลายเป็นความจริงง่ายๆเช่นนี้?
เมื่อบทสนทนาของทั้งคู่ชะงักชั่วครู่ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า
"เอาละ, เราจะลองดูอีกครั้งไหม ถ้าเราเหมาะสม 100% สำหรับกันและกันจริงๆแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าสักวันหนึ่ง เราต้องพบกันอีกสักที่ และถ้าเราพบกันอีกครั้ง และแน่ใจว่า เราเหมาะสมสำหรับกันและกันจริงๆ, พวกเรามาแต่งงานกันนะ ตกลงไหม?"
"ตกลง" หญิงสาวตอบ
และคนทั้งสองก็จากกันไป
ยังไงก็ตาม ความจริงแล้ว มันไม่จำเป็นเลยสำหรับคนทั้งสองที่จะต้องรอวันที่พวกเขาพบกันอีกที เนื่องจากเขาทั้งสอง ต่างก็เหมาะสม 100% ซึ่งกันและกัน แต่คนทั้งคู่ก็กลับเลือกที่จะเอาอนาคตของพวกเขาฝากไว้ในเงื่อมมือของโชคชะตา
เมื่อฤดูหนาวหนึ่งมาถึง, ชายหนุ่ม และหญิงสาวก็ต่างล้มป่วยหนัก เนื่องจากไข้หวัดที่ระบาดในปีนั้น หลังจากที่ผ่านสภาพความเป็นความตายมาได้ คนทั้งคู่ก็ต่างสูญเสียความทรงจำ สิ่งที่พวกเขาจำได้คือความว่างเปล่า
แต่เนื่องด้วยคนทั้งคู่ก็ต่างเป็นหนุ่มสาวที่เฉลียวฉลาดและอดทน พวกเขาก็เรียนรู้สิ่งต่างๆและกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปรกติ พวกเขาสามารถทำสิ่งใหม่ๆเช่น ต่อรถไฟใต้ดินสายต่างๆ หรือส่งพัสดุพิเศษทางไปรษณีย์ได้ พวกเขาทำได้แม้กระทั่งฟื้นฟูความสามารถที่จะตกหลุมรักกลับมาได้ 75% หรือ 85%
ในเวลานั้นชายหนุ่มอายุ 32 และหญิงสาวก็อายุ 30 แล้ว เวลาผ่านไปรวดเร็วจนน่าตกใจ
และในเช้าในสดใสในเดือนเมษายน เพื่อที่จะทานอาหารเช้ากับกาแฟ, ชายหนุ่มได้เดินจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกในซอยหลังถนนฮาราจุกุ และเพื่อที่จะส่งจดหมาย หญิงสาวก็เดินจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกในซอยเดียวกัน ที่กลางซอย คนทั้งคู่เดินสวนกัน แสงบางๆจากความทรงจำที่หายไปของคนทั้งคู่ก็ส่องประกายออกมาชั่วขณะในใจของเขาและเธอ
เธอคือผู้หญิง 100% สำหรับผม
เขาคือผู้ชาย 100% สำหรับฉัน
อย่างไรก็ตาม แสงจากความทรงจำนั้น อ่อนแรงเกินไป และคำพูดในใจของเขาและเธอ ก็ไม่ได้มีความหมายดังเช่น 14 ปีที่แล้ว คนทั้งคู่เดินผ่านไปโดยไม่ได้เอ่ยปากต่อกันและกัน และพวกเขาก็หายลับไปในฝูงชน
คุณว่าเรื่องนี้เศร้าไหม?
นี่คือเรื่องที่ผมน่าจะบอกเธอ
-------------------------------------------------------------------------------------
ความเป็นมาย่อๆของนักเขียนคนนี้ คือ ยังไม่ตาย น่าจะอายุประมาณ 60 เป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตในยุค 70-80 โดยเป็นเจ้าของแจ๊ซบาร์ จัดได้ว่าเป็นคนเมืองที่มีรูปแบบชีวิตที่ค่อนข้างมีสีสัน งานเขียนของ Murakami มันจะเป็นเรื่องสั้นที่ผสมผสานโลกในยุคปัจจุบันในชีวิตของเขา และโลกในจินตนาการที่ค่อนข้างแปลก และมักจะจบงานเขียนของเขาด้วยการหักมุมเล็กๆแต่มีความหมายลึกๆซ่อนอยู่ให้ผู้อ่านได้ตีความกันได้หลายด้าน เรียกได้ว่าเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้งานเขียนของ Murakami เป็นที่นิยม
เรื่อง 100% woman นี้เข้าใจว่า ยังไม่เคยได้รับการแปลเป็นภาษาไทยมาก่อน (ถ้าผิดพลาดอย่างไร ขออภัย) แต่จะหน้าด้านแปลให้ได้อ่านกัน ณ ที่นี้

-------------------------------------------------------------------------------------
ในเช้าที่สดใสของเดือนเมษายน ผมได้เดินผ่าน ผู้หญิง 100% บนถนนหลังฮาราจุกุ
เธอไม่ใช่คนสวย และก็ไม่ใช่ว่าเธอใส่เสื้อผ้าพิเศษอะไรด้วย มองจากข้างหลังแล้ว หัวเธอเหมือนเพิ่งตื่นนอน เธอน่าจะอายุใกล้สามสิบ แต่แม้ว่าผมจะมองเธอไกลจากระยะสัก 50 เมตร ผมรู้ว่าเธอคือผู้หญิงที่เหมาะสม 100% สำหรับผม ตั้งแต่วินาทีที่ผมเห็นเธอ ผมใจสั่น ปากผมแห้งผาด
บางทีคุณอาจมีสเปคของผู้หญิงที่คุณชอบ ตัวอย่างเช่น บางคนชอบผู้หญิงหุ่นบาง บางคนชอบผู้หญิงตาโต บางคนก็ชอบผู้หญิงนิ้วเรียวยาว
แต่ไม่มีใครสามารถให้นิยามของ ผู้หญิง 100% ได้อย่างชัดเจน
แต่สิ่งนึงที่ผมรู้คือ ผมไม่สามารถจำได้แม้แต่ว่าจมูกเธอเป็นอย่างไร เธอมีจมูกหรือเปล่าผมก็ยังไม่แน่ใจ ผมจำได้แค่เพียงว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงสวย ช่างแปลกอะไรเช่นนี้
ผมบอกใครบางคนว่า "เมื่อวาน ผมเดินผ่านผู้หญิง 100% บนถนน"
"หืม," เขาตอบ "เธอสวยหรือเปล่า?"
"มันไม่เชิงอย่างนั้น"
"โอ้, เธอเป็นแบบที่นายชอบหรอ?"
"ผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นตาของเธอ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหน้าอกเธอเล็กหรือใหญ่"
"แปลกนะ นายว่าไหม"
"อืม แปลกจริง"
"งั้น" เขาพูดต่อ ท่าทางเบื่อ "แล้วนายได้พูดกับเธอ หรือตามเธอไปหรือเปล่า?"
"เปล่าเลย" ผมตอบ "แค่เดินผ่านเฉยๆ"
วันนั้น เธอเดินจากตะวันออกไปตะวันตก ส่วนผมเดินจากตะวันตกไปตะวันออก มันช่างเป็นเช้าที่สวยงามในเดือนเมษายน
ผมกลับมาคิดว่าผมน่าจะคุยกับเธอ สักสามสิบนาทีก็คงดี ผมอยากรู้เกี่ยวกับชีวิตของเธอ อยากบอกเธอเกี่ยวกับชีวิตของผม แต่มากกว่าสิ่งใด ผมอยากจะรู้ความจริง ว่าอะไรทำให้เราได้มาพบกันในซอยหลังถนนฮาราจุกุในเวลาเช้าของวันในเดือนเมษายน ปี 1981 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องมีความลับอะไรสักอย่าง เหมือนบุพเพสันนิวาส
แล้วผมน่าจะพาเธอไปทานข้าวเที่ยงที่ไหนสักที่ อาจจะดูหนังหลังจากนั้น ไปเล้าจน์เพื่อดื่มนิดหน่อย ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ดี ผมอาจได้มีโอกาสนอนกับเธอ
โอกาสกำลังเคาะประตูหัวใจของผมอยู่
ระยะระหว่างผมกับเธอกำลังใกล้เข้ามา เหลือแค่สิบห้าเมตร
เอาละ ผมควรพูดอะไรกับเธอดี?
"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณอยากจะคุยกับผมสักครึ่งชั่วโมงไหม?"
ตลกสิ้นดี เหมือนสิ่งที่คนขายประกันพูดเลย
"ขอโทษครับ แถวนี้มีร้านซักรีด 24 ชั่วโมงไหมครับ?"
งี่เง่าอยู่ดี เห็นชัดว่า ผมไม่ได้ถือตะกร้าเสื้อมาด้วย หรือว่าผมจะพูดตรงๆ "อรุณสวัสดิ์ครับ คุณคือผู้หญิง 100% ของผม"
เธอคงไม่เชื่อหรอก ถึงแม้เธอจะเชื่อ เธอคงจะคิดว่าเธอไม่อยากคุยกับผม ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง 100% ของผม แต่ผมก็ไม่ใช่ผู้ชาย 100% ของเธอแน่นอน สถานการณ์ต้องสับสนมากแน่ๆ
ผมเข้าใกล้เธอหน้าร้านดอกไม้ ผมรู้สึกถึงอากาศอุ่นๆที่สัมผัสผิวของผม น้ำไหลผ่านยางมะตอยที่ข้างถนน และกลิ่นดอกกุหลาบที่โชยมา ผมไม่สามารถเอ่ยคำใดๆกับเธอได้ เธอสวมเสวตเตอร์สีขาว และถือซองจดหมายที่ยังไม่ได้สแตมป์อยู่ในมือขวาของเธอ เธอเขียนจดหมายให้ใครบางคน ในเมื่อตาเธอดูง่วงเหลือเกิน เธอต้องใช้เวลาทั้งคืนเขียนจดหมายนั้นแน่ๆ และบางทีความลับทั้งหมดของเธออาจอยู่ในซองจดหมายนั้น
หลังจากอีกหลายก้าวผ่านไป เมื่อผมหันหลังกลับไป เธอก็หายลับไปในฝูงชนแล้ว
* * * * *
ในเวลานี้ ผมนึกออกแล้วว่าผมควรจะพูดกับเธอว่าอย่างไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นคำสารภาพรักที่ยาว ผมรู้ว่าผมคงจะพูดไม่ได้ดีอย่างที่คิด ผมคิดเสมอว่าเรื่องพวกนี้ไม่สมจริงเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม คำสารภาพของผมเริ่มด้วย "กาลครั้งหนึ่ง," และจบด้วย "คุณว่าเรื่องนี้เศร้าไหม?"
กาลครั้งหนึ่ง, ในที่แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มและหญิงสาว ชายหนุ่มอายุสิบแปดและหญิงสาวอายุสิบหก เขาไม่ได้เป็นคนหน้าตาดี และเธอก็ไม่ใช่สาวสวยเช่นกัน เขาและเธอก็ต่างเป็นคนที่ดูธรรมดาๆ ดังเช่นผู้คนที่โดดเดี่ยวทั่วไป แต่พวกเขาเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ทีใดที่หนึ่งในโลกนี้ จะต้องมีคนที่เหมาะสม 100% สำหรับตนอยู่อย่างแน่นอน
วันหนึ่ง พวกเขาทั้งสอง ก็ได้มาเจอกันที่มุมถนน "ช่างน่าแปลกใจจริง ผมได้ตามหาคุณมานานแสนนาน คุณอาจไม่เชือนะ แต่ว่าคุณเป็นผู้หญิง 100% สำหรับผม" ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาว
หญิงสาวตอบว่า "คุณก็เป็นผู้ชาย 100% สำหรับฉันเหมือนกัน คุณเป็นเหมือนที่ฉันคิดไว้ทุกประการ นี่เหมือนความฝันเลย"
ทั้งคุ่นั่งบนม้านั่งในสวนสาธารณะ พวกเขาคุยกันนานและไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยล้า คนทั้งสองไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว ช่างวิเศษที่คนสองคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายเหมาะสม 100% สำหรับตน
อย่างไรก็ตาม ข้อกังขาเล็กๆก็วิ่งผ่านห้วงความคิดของคนทั้งสอง มันจริงหรือ ที่ความฝันจะกลายเป็นความจริงง่ายๆเช่นนี้?
เมื่อบทสนทนาของทั้งคู่ชะงักชั่วครู่ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า
"เอาละ, เราจะลองดูอีกครั้งไหม ถ้าเราเหมาะสม 100% สำหรับกันและกันจริงๆแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าสักวันหนึ่ง เราต้องพบกันอีกสักที่ และถ้าเราพบกันอีกครั้ง และแน่ใจว่า เราเหมาะสมสำหรับกันและกันจริงๆ, พวกเรามาแต่งงานกันนะ ตกลงไหม?"
"ตกลง" หญิงสาวตอบ
และคนทั้งสองก็จากกันไป
ยังไงก็ตาม ความจริงแล้ว มันไม่จำเป็นเลยสำหรับคนทั้งสองที่จะต้องรอวันที่พวกเขาพบกันอีกที เนื่องจากเขาทั้งสอง ต่างก็เหมาะสม 100% ซึ่งกันและกัน แต่คนทั้งคู่ก็กลับเลือกที่จะเอาอนาคตของพวกเขาฝากไว้ในเงื่อมมือของโชคชะตา
เมื่อฤดูหนาวหนึ่งมาถึง, ชายหนุ่ม และหญิงสาวก็ต่างล้มป่วยหนัก เนื่องจากไข้หวัดที่ระบาดในปีนั้น หลังจากที่ผ่านสภาพความเป็นความตายมาได้ คนทั้งคู่ก็ต่างสูญเสียความทรงจำ สิ่งที่พวกเขาจำได้คือความว่างเปล่า
แต่เนื่องด้วยคนทั้งคู่ก็ต่างเป็นหนุ่มสาวที่เฉลียวฉลาดและอดทน พวกเขาก็เรียนรู้สิ่งต่างๆและกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปรกติ พวกเขาสามารถทำสิ่งใหม่ๆเช่น ต่อรถไฟใต้ดินสายต่างๆ หรือส่งพัสดุพิเศษทางไปรษณีย์ได้ พวกเขาทำได้แม้กระทั่งฟื้นฟูความสามารถที่จะตกหลุมรักกลับมาได้ 75% หรือ 85%
ในเวลานั้นชายหนุ่มอายุ 32 และหญิงสาวก็อายุ 30 แล้ว เวลาผ่านไปรวดเร็วจนน่าตกใจ
และในเช้าในสดใสในเดือนเมษายน เพื่อที่จะทานอาหารเช้ากับกาแฟ, ชายหนุ่มได้เดินจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกในซอยหลังถนนฮาราจุกุ และเพื่อที่จะส่งจดหมาย หญิงสาวก็เดินจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกในซอยเดียวกัน ที่กลางซอย คนทั้งคู่เดินสวนกัน แสงบางๆจากความทรงจำที่หายไปของคนทั้งคู่ก็ส่องประกายออกมาชั่วขณะในใจของเขาและเธอ
เธอคือผู้หญิง 100% สำหรับผม
เขาคือผู้ชาย 100% สำหรับฉัน
อย่างไรก็ตาม แสงจากความทรงจำนั้น อ่อนแรงเกินไป และคำพูดในใจของเขาและเธอ ก็ไม่ได้มีความหมายดังเช่น 14 ปีที่แล้ว คนทั้งคู่เดินผ่านไปโดยไม่ได้เอ่ยปากต่อกันและกัน และพวกเขาก็หายลับไปในฝูงชน
คุณว่าเรื่องนี้เศร้าไหม?
นี่คือเรื่องที่ผมน่าจะบอกเธอ
-------------------------------------------------------------------------------------
ทำไมถึง blog?
ผู้คนมากมายก็ต่างมีเหตุผลเป็นร้อยเป็นพันที่สร้างบล๊อกขึ้นมา โพสเรื่องราวต่างๆให้ชาวโลกที่บังเอิญผ่านไปผ่านมาได้รับรู้
บางทีอาจเป็นเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากชาวบ้าน
อีกทีก็อาจเป็นเพราะแค่มีเรื่องในใจต้องการบ่นให้ผู้อื่นรับฟัง แต่ดันขี้เกียจพูดหลายรอบ จึงทำโพสไว้ จะได้ไม่ต้องเล่าหลายรอบ มีเพื่อนร้อยคนก็เขียนรอบเดียว ได้รับรู้กันถ้วนหน้า
หรือไม่ ก็แค่มีความสุขที่จะได้เขียนอะไรสักอย่าง ไม่น่าเชื่อ บางทีการนั่งเขียนบางสิ่งลงไปตามที่สมองสั่งการ ไม่ต้องมีการวางแผน ไม่ต้องมีรูปแบบ ก็เปรียบได้ดั่งกับการปลดปล่อย เหมือนได้นั่งสุขา ปานนั้น
... เหตุผลส่วนตัวที่เริ่มเขียนบล๊อก ...
ในชีวิตอันแสนสั้นที่ผ่านมายี่สิบกว่าปีของผม วันๆก็มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะบ้าง น้อยบ้าง
วันๆ ก็บ่นเรื่องต่างๆให้คนรอบข้างได้ฟัง คนฟังบางทีก็เบื่อบ้าง สนใจบ้าง ไม่ใช่เรื่องแปลก คนเราจะมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตก็คงไม่ได้ หัวใจคงทำงานหนักเกินไป
ปรกติผมเป็นคนที่ชอบคิดเรื่อยเปื่อย ตีความสิ่งที่ได้พบเห็นในชีวิตไปต่างๆนานา เรื่องบางเรื่องที่อยากจะระบาย จึงไม่สามารถเล่าให้บุคคลที่รู้จักในชีวิตฟังได้เพราะเดี๋ยวจะหาว่าไร้สาระ หรือว่าน่าเบื่อ
ตัวผมเองก็เคยคิดว่าสักวันจะเขียนอะไรสักอย่าง แต่ไม่เคยได้เริ่มเสียที เคยผลัดวันประกันพรุ่งมาเป็นเดือนเป็นปี วันนี้จึงได้ฤกษ์ลองดูเสียที
การทำบล๊อกนี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีคนอ่านเป็นพันเป็นหมื่น แค่มีคนผ่านไปผ่านมาแล้วอ่านบ้าง คนเขียนบางทีก็ดีใจมากแล้ว
หลังจากบิ้วความหน้าด้านได้ถึงระดับหนึ่งจึงแบกสังขารของตนมานั่งหน้าแลปท๊อปคู่กายและเริ่มเสียที
... สิ่งที่จะเขียน ...
ผมตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะไม่ทำบล๊อกที่นั่งเขียนเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง นั่งบ่นว่าวันๆทำอะไรไปบ้าง
เหตุผลหลักคือ มันไม่มีใครจะมาสนใจอยากรู้หรอกว่า ชีวิตมึงวันๆทำอะไรบ้าง ถ้าคุณไม่ใช่คนของประชาชน เช่นดารา นักการเมือง etc.
สิ่งที่จะเขียนก็คือสิ่งรอบกายที่ผมเห็นในชีวิต และทัศนะคติที่ตัวผมมี จะบอกว่า แบ่งปันความรู้และสาระให้คนอื่นได้รับรู้ ก็คงไม่ถูกเท่าไร เพราะรู้ตัวดีว่า ทุกสิ่งที่เขียนลงก็ต้องมีความลำเอียงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่ใจที่ดึงดันก็จะเขียนเรื่องราวจากประสบการณ์และมุมมองของตัวเอง ดังเช่น ภาพยนตร์ ดนตรี วรรณกรรม สังคม ประวัติศาสตร์ การเมือง และอื่นๆซึ่งบางเรื่องก็อาจไม่มีสาระเลยก็ได้
ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านถึงจุดนี้ เพราะรู้ว่าที่ผ่านมาค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ก็ยังทน นับว่าเป็นผู้อ่านที่ประเสริฐ นับถือๆ
บางทีอาจเป็นเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากชาวบ้าน
อีกทีก็อาจเป็นเพราะแค่มีเรื่องในใจต้องการบ่นให้ผู้อื่นรับฟัง แต่ดันขี้เกียจพูดหลายรอบ จึงทำโพสไว้ จะได้ไม่ต้องเล่าหลายรอบ มีเพื่อนร้อยคนก็เขียนรอบเดียว ได้รับรู้กันถ้วนหน้า
หรือไม่ ก็แค่มีความสุขที่จะได้เขียนอะไรสักอย่าง ไม่น่าเชื่อ บางทีการนั่งเขียนบางสิ่งลงไปตามที่สมองสั่งการ ไม่ต้องมีการวางแผน ไม่ต้องมีรูปแบบ ก็เปรียบได้ดั่งกับการปลดปล่อย เหมือนได้นั่งสุขา ปานนั้น
... เหตุผลส่วนตัวที่เริ่มเขียนบล๊อก ...
ในชีวิตอันแสนสั้นที่ผ่านมายี่สิบกว่าปีของผม วันๆก็มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะบ้าง น้อยบ้าง
วันๆ ก็บ่นเรื่องต่างๆให้คนรอบข้างได้ฟัง คนฟังบางทีก็เบื่อบ้าง สนใจบ้าง ไม่ใช่เรื่องแปลก คนเราจะมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตก็คงไม่ได้ หัวใจคงทำงานหนักเกินไป
ปรกติผมเป็นคนที่ชอบคิดเรื่อยเปื่อย ตีความสิ่งที่ได้พบเห็นในชีวิตไปต่างๆนานา เรื่องบางเรื่องที่อยากจะระบาย จึงไม่สามารถเล่าให้บุคคลที่รู้จักในชีวิตฟังได้เพราะเดี๋ยวจะหาว่าไร้สาระ หรือว่าน่าเบื่อ
ตัวผมเองก็เคยคิดว่าสักวันจะเขียนอะไรสักอย่าง แต่ไม่เคยได้เริ่มเสียที เคยผลัดวันประกันพรุ่งมาเป็นเดือนเป็นปี วันนี้จึงได้ฤกษ์ลองดูเสียที
การทำบล๊อกนี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีคนอ่านเป็นพันเป็นหมื่น แค่มีคนผ่านไปผ่านมาแล้วอ่านบ้าง คนเขียนบางทีก็ดีใจมากแล้ว
หลังจากบิ้วความหน้าด้านได้ถึงระดับหนึ่งจึงแบกสังขารของตนมานั่งหน้าแลปท๊อปคู่กายและเริ่มเสียที
... สิ่งที่จะเขียน ...
ผมตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะไม่ทำบล๊อกที่นั่งเขียนเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง นั่งบ่นว่าวันๆทำอะไรไปบ้าง
เหตุผลหลักคือ มันไม่มีใครจะมาสนใจอยากรู้หรอกว่า ชีวิตมึงวันๆทำอะไรบ้าง ถ้าคุณไม่ใช่คนของประชาชน เช่นดารา นักการเมือง etc.
สิ่งที่จะเขียนก็คือสิ่งรอบกายที่ผมเห็นในชีวิต และทัศนะคติที่ตัวผมมี จะบอกว่า แบ่งปันความรู้และสาระให้คนอื่นได้รับรู้ ก็คงไม่ถูกเท่าไร เพราะรู้ตัวดีว่า ทุกสิ่งที่เขียนลงก็ต้องมีความลำเอียงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่ใจที่ดึงดันก็จะเขียนเรื่องราวจากประสบการณ์และมุมมองของตัวเอง ดังเช่น ภาพยนตร์ ดนตรี วรรณกรรม สังคม ประวัติศาสตร์ การเมือง และอื่นๆซึ่งบางเรื่องก็อาจไม่มีสาระเลยก็ได้
ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านถึงจุดนี้ เพราะรู้ว่าที่ผ่านมาค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ก็ยังทน นับว่าเป็นผู้อ่านที่ประเสริฐ นับถือๆ
Subscribe to:
Posts (Atom)