จำไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้ว ที่ฟัง Pause รอบสุดท้าย แต่ไหนๆว่างๆเลยเปิดอัลบั้มนี้กลับมาฟัง
จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ (โหลด) อัลบั้มนี้มาฟังเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ก็หลงรักวงพอสในทันที
หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่าพอสเป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่มากในวงการเพลงอินดี้ไทยจริงๆ เพราะมีหลายเพลงเหลือเกินที่คุ้นหูคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ที่ว่าง ความลับ ข้อความ รักเธอที่สุดของหัวใจ ดาว กอดหมอน และอื่นๆ
Mild เป็นผลงานชุดที่สามของวงพอสที่ทำเป็นแนวค่อนข้างจะ acoustic ตามหลัง Push me again และ Evo & nova ซึ่งออกไปทางร๊อกนิดๆ แต่ไม่หนักมาก
Mild นั้นประกอบด้วยเพลง 11 เพลง
1.สัมพันธ์
2.ข้อความ
3.ดาว
4.ฝันกลางวัน
5.บางสิ่ง
6.เหงา
7.ความลับ
8.เปล่าๆ
9.อย่าตัดสินใจ
10.จะรักเธอคนเดียว
11.กอดหมอน
เนื่องด้วยอัลบั้มนี้ออกมาในปี 2542 ในตอนนี้ก็มีอายุครบ 10 ปีแล้ว แต่ว่าไม่ว่าจะฟังกี่ครั้ง ก็ไม่รู้สึกเลยว่าดนตรีที่เรียบง่าย ทำนองที่ติดหู เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่โจ้ผู้ล่วงลับ และเนื้อเพลงที่่"โดน"อย่างปฏิเสธไม่ได้ นั้นจะล้าสมัยแม้แต่นิดเดียว
น่าแปลกใจที่อัลบั้มที่เรียบง่ายอย่าง Mild จะมีความเป็นอมตะในใจของผม (และอาจในใจของคนอื่นด้วย) น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถหาซื้อ cd ของเพลงนี้มาเก็บไว้ได้ เนื่องจากในสมัยที่เริ่มฟังพอสก็นานหลายปีหลังจากที่อัลบั้มนี้ออกมาสู่ตลาดแล้ว ไม่ว่าจะเดินไปร้านไหนก็หาไม่พบเสียที สุดท้ายวงพอสก็ไม่ได้ครอบครองเงินในกระเป๋าของผมสำหรับอัลบั้มนี้ (แต่ได้ไปจากแผ่น ultimate collection)
ทำไมพอสถึงไม่ตาย?
เป็นคำถามที่ผมสงสัยมาก ว่าทำไมวงดนตรีนึงแม้จะจบสิ้นไปแล้ว แต่ดนตรีของวงนั้นกลับไม่ตาย พี่โจ้ก็จากโลกไปแล้ว ส่วนสมาชิกบางคนก็ไปอยู่กับ crescendo ซึ่งก็เป็นวงที่ผมชอบอีกวงหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถแทนที่พอสได้ ทั้งๆที่ในตลาดแล้ว มีวงดนตรีมากมายที่มีความแปลกใหม่ และฝีมือเหนือกว่าพอส ก็ไม่น้อย แต่ลึกๆแล้วผมบอกได้ว่าพอสเป็นวงดนตรีไทยที่มีคุณภาพมากที่สุด
ถ้าจะคิดหาคำอธิบายง่ายๆจากมุมมองของนักดนตรีสมัครเล่นอย่างผมก็คงเป็นว่า พอสเป็นวงดนตรีที่มีความ"ลงตัว"ที่สุด ความไม่หวือหวาของเนื้อดนตรี เสียงร้องที่สูงและไม่มีใครเหมือนของพี่โจ้ และการเขียนเืนื้อร้องสไตล์เบเกอรี่ที่มีความเป็นกวี เพ้อฝันนิดๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีเนื้อหาติดดินที่คนทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงได้ ทั้งหมดนี้ผสมผสานกลายเป็นความลงตัวที่สุดในวงการเพลงไทย (ในสายตาผม)
ในใจแล้ว ผมคิดว่าเพลงดาว เป็นเพลงไทยที่ผมชื่นชอบที่สุด (ตลอดกาล) ด้วยเหตุผลที่คิดว่าคงอธิบายไม่ได้ แต่อาจเป็นเพราะ"ความลงตัว"ที่กล่าวไว้ก่อนหน้า รวมกับประสบการณ์ส่วนตัว เวลาฟังเพลงนี้ หรือหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นเพลงนี้ก็รู้สึกอุ่นๆในใจทุกครั้งไป (เว่อมากไปหรือเปล่า)
เชื่อว่า คนเราส่วนมากเวลาฟังเพลงที่เคยฟังเมื่อก่อน บางทีก็นึกถึงบางช่วงเวลาในชีวิตที่เคยผ่าน ตัวผมเองก็ไม่เว้นเช่นกัน เมื่อหยิบอัลบั้ม Mild ของพอสมาฟัง ก็นึกกลับไปถึงช่วงเวลามากมาย
จำได้ว่าช่วงที่ฟังอัลบั้มนี้บ่อยๆคือช่วงหัวเกรียนเรียนรด.กับไอ้คุ้ง ไอ้เอก จำได้ว่านั่งสองแถวไปกลับจากบางละมุงไปสัตหีบเพื่อเรียนรด. ช่วงเดือนเจ็ดชลบุรีฝนตกบ่อยมาก แต่ยังดีที่ไม่ใช่ปีแรก จึงไม่ต้องออกฝึกสนามบ่อยนัก
นึกถึงสมัยเรียน isr ทุกวันหลังเลิกเรียนก็จะวิ่งไปห้องดนตรีเพื่อซ้อมเปียโนอย่างไม่รู้จักพอ อยู่กับเพื่อนที่เป็นนักเรียนประจำจนนักเรียนไปกลับหายกลับบ้านไปหมดแล้ว เดินเล่นในโรงเรียนช่วงห้าหกโมงเย็นรอให้แม่มารับ บางทีก็อยู่คนเดียวเล่นเปียโน ไม่ก็เล่นคอม ทุกครั้งกว่าแม่จะมารับก็เกือบมืดแล้ว
แม้่ว่าบ้านผมจะอยู่ริมทะเล แต่ทุกๆวันที่กลับบ้านก็มืดจนมองไม่เห็นทะเลแล้ว จะได้ยินก็แต่เสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งอย่างไม่เคยหยุดหย่อน หลังกินข้าวเย็นทุกวันผมก็จะเก็บตัวอยู่ในห้องนอน เล่นคอม เล่นเปียโนตัวโปรด จำได้ว่ายืมกีต้าร์โปร่งไนลอนจากไอ้อาท (ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่บ้าน) มาฝึกเล่นเองตอนปีสุดท้ายของ isr พยายามฝึกจำคอร์ดวันละเกือบสองชั่วโมง ความรู้สึกที่ต้องทนเจ็บนิ้วจากการเล่นกีต้าร์นั้น ทุกวันนี้แทบจะจำไม่ได้แล้วว่ารู้สึกอย่างไร
ทุกๆวันศุกร์ผมก็จะติดรถบัสของนักเรียนประจำเข้ากรุงเทพในตอนเย็น (แอบขึ้น) เพื่อไปค้างบ้านอาม่าอากงในช่วงสุดสัปดาห์ ทุกครั้งกว่าจะถึงกรุงเทพก็ทุ่มสองทุ่มแล้ว แต่ไม่วายก็ยังอยากเดินเล่นที่เยาฮัน(ฟอร์จูนทาวน์ โลตัสรัชดา) บางครั้งก็ซื้อแผ่นเกม แผ่นเพลงติดมือมาบ้าง คืนวันศุกร์ผมก็จะอยู่คนเดียวในห้องนอน นั่งเล่น ps2 จนดึกดื่น
คิดถึงบางครั้งไปนอนบ้านไอ้ต๊อบ อยู่แถวๆเดียวกันบนถนนพระรามเก้า นึกถึงรถบีเอ็มสีแดงของมันที่ขับมารับมาส่ง บางครั้งก็ไปกินไดโดมอนชั้นใต้ดินเยาฮันกัน กลับถึงบ้านมันก็ดวดวิ่นนิ่งกันจนตีสามตีสี่ แรกๆก็พอชนะบ้าง แต่นัดหลังๆจะแพ้เรื่อยไป ไอ้ต๊อบเป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ชนะวิ่นนิ่งผม
นึกถึงทุกเย็นวันอาทิตย์ที่ไปเรียนการอัดเสียงที่ genx ถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง แล้วเช้าวันจันทร์ที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อติดรถอาจารย์นรงกลับไปชลบุรี เพื่อใ้ห้ทันเข้าเรียนแปดโมงครึ่งตอนเช้า
คิดถึงช่วงเวลาที่ได้เล่นในวงออเคสตร้าในโรงเรียน ได้เล่นดนตรีร่วมกับคนอื่นเป็นวงใหญ่ๆ เล่นคอนเสิร์ทโรงเรียงปีละหลายครั้งกับไอ้คุ้ง ตั้งแต่เข้า isr จนเรียนจบ นับครั้งไม่ถ้วนว่าได้ขึ้นเวทีกี่รอบ
นึกถึงวันที่ประกวด talent show ปีแรกแล้วช่วยให้เกิ้นได้ที่ 1 ไอ้เอ็มได้ที่ 2
คิดถึงช่วงเวลาที่ดีใจสุดชีวิต กระโดดกอดคอกับไอ้โนเอล ไอ้โยชิและไอ้หมิงที่ชนะประกวด battle of the bands ปีสุดท้ายที่โรงเรียน และช่วงเวลาที่ประกาศผลว่าสีฟ้าชนะลอยกระทง
คิดถึงวันเวลาที่ลากแตะตะลอนกรุงเทพคนเดียวจนพ่อชอบว่าว่าทำไมชอบใส่รองเท้าแตะ ดูไม่เรียบร้อย
เรื่องราวพวกนี้ผ่านมากี่ปีแล้ว
วันนี้ผมยืนอยู่ไกลจากจุดนั้นเหลือเกิน ทุกวันนี้มองดูรอบๆตัว เพื่อนรุ่นเดียวกันบ้างก็เรียนจบแล้ว บางคนก็เกือบจบ ตัวผมเองก็จะจบในครึ่งปี
หลายคนบอกว่า ผมไม่เปลี่ยนไปเลย แต่จากมุมมองแล้วผมว่าผมเปลี่ยนไปมาก ข้างในลึกๆแล้วยังหวนนึกถึงวัยรุ่นที่ผ่านไปแล้ว หลายคนบอกผมใช้ชีวิตไม่คุ้ม ผมว่าไม่จริง
จากเด็กกรุงเทพที่มาโตบ้านนอก ลากแตะ กินส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ปลาหมึกปิ้ง จนถึงวันนี้เป็นปีที่สามแล้วที่มาใช้ชีวิตอยู่อีกฟากนึงของโลก เห็นโลกที่สาม และโลกที่หนึ่งในหลายแง่มุม ผมว่าุุคุ้ม
แต่ถ้าชีวิตเลือกได้ผมอยากกดปุ่ม rewind กลับไปใช้ชีวิตสมัย isr อีกครั้ง
แต่อะไรๆคงไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะถ้าจะพยายามขนาดนั้นคงต้องลำบากที่จะเดินทางด้วยความเร็วแสง เกี่ยวพันกับสสารมืด และอาจรบกวน space-time continuum ให้เป็นที่ยุ่งยาก
ทุกๆวันนี้อะไรๆก็ต่างจากเดิมมาก
ไอ้คุ้ง ไอ้เอก ไอ้ต๊อบ ก็อยู่อังกฤษ
ไอ้อาทก็อยู่ออส
ที่เหลือก็อยู่ไทย
ทุกคนก็มีทางของตัวเองที่ต้องเดิน
เมื่อสี่ปีก่อนก็ไม่เคยคิดว่า จะต้องจากบ้านมาไกลขนาดนี้ ไม่เคยนึกว่าวันนี้จะมานั่งในคอมแลปมหาลัยนั่งเขียนเกี่ยวกับชีวิตสมัยม.ปลาย
คิดถึงครอบครัวและญาติ คิดถึงห้องนอนที่กรุงเทพ
คิดถึงไ้อ้คุ้ง ไอ้เอก ไอ้ต๊อบ ไอ้อาท ไอ้ใหญ่ และเพื่อนๆ isr ทุกคน
คิดถึงไอ้โนเอล น้องชายไม่แท้ของผม
คิดถึงโรบิน ที่เคยเขียนเพลงด้วยกัน
คิดถึงร้านส้มตำกับร้านก๋วยเตี๋ยวไก่หน้าปากซอยหน้าบ้าน
บางครั้งก็คิดถึงคนที่ชีวิตนี้คงจะไม่มีวันจะได้เจออีกแล้ว
บางทีการฟังเพลงเก่าๆก็ทำให้หวนนึกถึงอะไรเยอะเหมือนกัน
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
อีกไม่นานก็ได้กลับแล้ว=D พี่ทิมเขียนดีมากเลยอ่ะ เปนนักเขียนได้เลย
ReplyDeletetawan
สวัสดีท่านทิม ดูท่านจะเขียนแบบว่าคนที่ไม่รู้จักตัวท่านโดยส่วนตัวอาจจะไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างนะ... เข้าใจปะ แบบว่ามีการสมมตินิดหน่อยว่าคนอ่านสมควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวท่านพอสมควร มันก็เป็นไปได้ที่จะทำให้คนอ่านอยู่ในวงแคบแม้ว่าจะประชาสัมพันธ์บทความเพียงใดก็ตาม...
ReplyDeleteคือไม่ได้ผิดแปลกที่เนื้อหา แต่เนื้อหาควรได้รับการขยายความมากว่านี้โดยเฉพาะชื่อของบุคคลสิ่งของสถานที่ isr คืออะไร? ไอ้คุ้งคือตัวอะไร? ไอ้เอกเป็นอะไรกับผู้เขียน? ถ้าทำได้ก็จะดึงผู้อ่านไม่ว่าจากภูมิหลังแบบใด บ้านเกิดที่ไหน ผิวสีอะไร ให้เข้ามาสู่ชีวิตของผู้เขียนได้มากขึ้น...
wow.. you blog too! hahaa.. ill read it via google translate tmr. lol cya
ReplyDeleteหลงเข้ามาอ่านจากคนที่ชอบ PAUSE เหมือนกัน สู้ๆครับ
ReplyDelete